การนอนกรนเป็นอาการที่หลายคนอาจมองข้าม ที่จริงแล้วมันเป็นสัญญาณเตือนของปัญหาทางสุขภาพที่อาจเป็นอันตรายถึงชีวิต สาเหตุหลักของอาการกรนมักเกิดจากการที่ทางเดินหายใจส่วนต้นถูกอุดกั้น ส่งผลให้ลมหายใจไม่สามารถผ่านไปยังปอดได้สะดวก เสียงกรนที่ได้ยินคือการสั่นสะเทือนของเนื้อเยื่อในลำคอที่เกิดจากลมหายใจไหลผ่านช่องแคบอย่างไม่ราบรื่น
ในบางกรณี การนอนกรนอาจนำไปสู่ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ Obstructive Sleep Apnea หรือ OSA ซึ่งเป็นภาวะที่คนที่เป็นอาจหยุดหายใจเป็นช่วง ๆ ระหว่างที่นอนหลับอยู่ หากไม่ได้รับการรักษา อาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพร้ายแรง เช่น โรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง และโรคหลอดเลือดสมอง
ภาวะหยุดหายใจขณะหลับกับการนอนกรน (OSA)
ภาวะหยุดหายใจขณะหลับเกี่ยวข้องโดยตรงกับการนอนกรน เนื่องจากการนอนกรนเกิดจากการอุดกั้นของทางเดินหายใจ เช่น โคนลิ้นหรือเพดานอ่อนที่หย่อนคล้อย ส่งผลให้ช่องทางเดินหายใจแคบลงจนลมหายใจไม่สามารถผ่านได้สะดวก
ภาวะนี้พบได้บ่อยในคนที่มีปัญหาการนอนกรน โดยเฉพาะในคนที่มีการอุดกั้นของทางเดินหายใจอย่างรุนแรง ซึ่งนอกจากจะส่งผลให้การหายใจติดขัดแล้ว ยังเพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะสมองขาดออกซิเจนในขณะหลับด้วย
คำแนะนำ: หากคุณหรือคนใกล้ตัวมีอาการนอนกรน ควรรีบเข้ารับการตรวจสุขภาพการนอนหลับ (Sleep Test) เพื่อวินิจฉัยและประเมินความรุนแรงของปัญหา พร้อมรับคำแนะนำสำหรับแนวทางการรักษาที่เหมาะสม
ประเภทของการนอนกรน
การนอนกรนสามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก ได้แก่
- การนอนกรนทั่วไป
- ไม่มีภาวะหยุดหายใจขณะหลับร่วมด้วย
- ส่งผลต่อความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง เช่น การสร้างความรำคาญหรือปัญหาในชีวิตคู่
- การนอนกรนที่เกิดภาวะหยุดหายใจขณะหลับร่วมด้วย (OSA)
- เกิดจากการอุดกั้นของทางเดินหายใจอย่างรุนแรง
- ส่งผลให้ระดับออกซิเจนในเลือดลดลง ส่งผลกระทบต่อการทำงานของอวัยวะต่าง ๆ เช่น สมอง หัวใจ และระบบไหลเวียนโลหิต
ระดับความรุนแรงของการนอนกรน
การนอนกรนแบ่งออกเป็น 3 ระดับตามความรุนแรง
- ระดับที่ 1
- กรนไม่บ่อย เสียงเบา ไม่ส่งผลต่อสุขภาพร้ายแรง
- ระดับที่ 2
- กรนบ่อยครั้ง มีโอกาสเกิดภาวะหยุดหายใจขณะหลับระดับเล็กน้อยถึงปานกลาง
- อาจรู้สึกนอนเท่าไหร่ก็ไม่พอ ง่วงเพลียในเวลากลางวัน
- ระดับที่ 3
- กรนเป็นประจำทุกคืน เสียงดังมาก
- เสี่ยงต่อภาวะหยุดหายใจรุนแรง อาจเกิดอาการสมองขาดออกซิเจน
ข้อมูลเพิ่มเติม: ความรุนแรงของภาวะหยุดหายใจขณะหลับสามารถวัดได้จากดัชนี Apnea-Hypopnea Index (AHI) โดยแบ่งออกเป็น 3 ระดับ ได้แก่ ระดับน้อย (5-14 ครั้ง/ชั่วโมง), ระดับปานกลาง (15-29 ครั้ง/ชั่วโมง) และระดับรุนแรง (มากกว่า 30 ครั้ง/ชั่วโมง)
ทำไมนอนกรนต้องรักษาที่ VitalSleep Clinic?
ที่ VitalSleep Clinic เรามีแพทย์เฉพาะทางด้านการนอนหลับที่ได้รับการรับรองจาก American Board of Dental Sleep Medicine พร้อมเทคโนโลยีและการรักษาที่หลากหลาย เช่น:
การใช้อุปกรณ์ทันตกรรม (Oral Appliance)
การใช้คลื่นความถี่วิทยุ (Radiofrequency หรือ RF Bot) การบำบัดกล้ามเนื้อใบหน้า (Myofunctional Therapy)
ภาวะหยุดหายใจขณะหลับวัดได้อย่างไร?
ในทางการแพทย์ เราสามารถวัดระดับความรุนแรงของภาวะหยุดหายใจขณะหลับด้วยค่า Apnea-Hypopnea Index (AHI) โดยแบ่งระดับความรุนแรงออกเป็น
- ระดับน้อย (Mild): 5-14 ครั้ง/ชั่วโมง
- ระดับปานกลาง (Moderate): 15-29 ครั้ง/ชั่วโมง
- ระดับรุนแรง (Severe): มากกว่า 30 ครั้ง/ชั่วโมง
ค่า AHI ใช้ร่วมกับการวัดระดับออกซิเจนในเลือด เพื่อประเมินผลกระทบต่อสุขภาพ
การตรวจ Sleep Test สำคัญอย่างไร?
การตรวจ Sleep Test หรือการตรวจวิเคราะห์การนอนหลับ (Polysomnography) ถือเป็นขั้นตอนสำคัญในการวินิจฉัยปัญหาที่เกี่ยวข้องกับการนอนหลับ โดยเฉพาะการนอนกรนและภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (Obstructive Sleep Apnea หรือ OSA) ซึ่งเป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบอย่างมากต่อสุขภาพร่างกายและจิตใจ การตรวจ Sleep Test ช่วยให้แพทย์สามารถระบุสาเหตุและระดับความรุนแรงของปัญหาที่เกิดขึ้น เพื่อวางแผนการรักษาได้อย่างแม่นยำและเหมาะสมกับแต่ละบุคคล
ขั้นตอนในการตรวจ Sleep Test
การตรวจ Sleep Test จะมีการติดตั้งอุปกรณ์วัดสัญญาณทางร่างกายระหว่างที่คุณนอนหลับ เช่น
- วัดการทำงานของสมอง (EEG): เพื่อตรวจสอบการทำงานของสมองในระหว่างการนอนหลับ
- วัดการหายใจ: ตรวจดูการไหลของลมหายใจและภาวะการหยุดหายใจ
- วัดการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อ (EMG): เพื่อประเมินภาวะเกร็งหรือการหย่อนคล้อยของกล้ามเนื้อ
- วัดระดับออกซิเจนในเลือด: เพื่อตรวจว่ามีการลดลงของระดับออกซิเจนระหว่างนอนหลับหรือไม่
- วัดการเต้นของหัวใจ (ECG): เพื่อตรวจสอบว่าการหยุดหายใจมีผลกระทบต่อระบบหัวใจและหลอดเลือดหรือไม่
ประโยชน์ของการตรวจ Sleep Test
- ช่วยวินิจฉัยความผิดปกติ: สามารถระบุได้ว่าการนอนกรนของคุณมีภาวะหยุดหายใจร่วมด้วยหรือไม่ และปัญหาดังกล่าวมีระดับความรุนแรงเพียงใด
- วางแผนการรักษา: การตรวจนี้ช่วยให้แพทย์เลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสม เช่น การใช้อุปกรณ์ CPAP การรักษาด้วยอุปกรณ์ทางทันตกรรม (Oral Appliance) หรือการผ่าตัด
- ป้องกันโรคร้ายแรง: การตรวจ Sleep Test ช่วยป้องกันผลกระทบต่อสุขภาพในระยะยาว เช่น โรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง และอาการสมองขาดออกซิเจน
- เพิ่มคุณภาพชีวิต: เมื่อปัญหานอนกรนและการหยุดหายใจได้รับการรักษา จะช่วยให้คุณมีคุณภาพการนอนหลับที่ดีขึ้น ลดความง่วงในตอนกลางวัน และเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน
ผลกระทบของการละเลยการรักษาการนอนกรน
การปล่อยให้อาการนอนกรนเรื้อรังโดยไม่ได้รับการรักษา อาจนำไปสู่ผลกระทบร้ายแรง เช่น
- การเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวาน โรคหัวใจ และหลอดเลือด
- ความเครียดและซึมเศร้าจากการพักผ่อนไม่เพียงพอ
- คุณภาพชีวิตที่ลดลงจากความเหนื่อยล้าและปัญหาสุขภาพเรื้อรัง
สรุป
การนอนกรนไม่ได้เป็นเพียงปัญหาเสียงรบกวน แต่ยังเป็นสัญญาณเตือนของปัญหาทางเดินหายใจที่อาจนำไปสู่ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (OSA) ซึ่งมีผลกระทบร้ายแรงต่อสุขภาพ เช่น โรคหัวใจ สมองขาดออกซิเจน และความดันโลหิตสูง อาการกรนสามารถเกิดได้จากการอุดกั้นทางเดินหายใจและแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ การกรนธรรมดา และการกรนที่มีภาวะหยุดหายใจร่วมด้วย
หากคุณหรือคนใกล้ชิดมีปัญหานอนกรน ควรเข้ารับการตรวจ Sleep Test เพื่อวินิจฉัยและวางแผนการรักษาที่เหมาะสม เช่น การใช้อุปกรณ์ทางทันตกรรม (Oral Appliance) หรือการรักษาด้วยคลื่นความถี่วิทยุ (RF) การปล่อยให้อาการเรื้อรังโดยไม่รักษา อาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพและคุณภาพชีวิตในระยะยาว